Languages
หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่ (2551)  (อ่าน 2241 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Fuddy
Full Member
***

like: 55
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1245



« เมื่อ: ตุลาคม 22, 2012, 10:49:15 am »

กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคฉบับใหม่ (2551)  ได้ประโยชน์เต็ม ๆ        
โดย..สฤษดิ์ ธัญกิจจานุกิจ
นสพ.ตรังแนวหน้า ฉบับ 72 วันที่ 1-15 ก.ย 2551
เรามี พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค 2522 และฉบับที่ 2 แก้ไข เพิ่มเติม พ.ศ. 2541 ที่มีเนื้อหาให้ความคุ้มครองผู้บริโภคหลายประการ แต่ตั้งแต่มีกฎหมายฉบับดังกล่าวมา ก็สามารถคุ้มครองผู้บริโภคได้ ระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามผู้บริโภคสินค้าหรือบริการ ก็ยังตกเป็นผู้ เสียเปรียบแก่บรรดาพ่อค้า แม่ค้า ตั้งแต่ระดับการขายสินค้าริมฟุตบาท ไปจนถึงประเภทสินค้าประเภทไฮเทค เช่น โทรศัพท์ เครื่องเล่น อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ รวมทั้งสินค้าประเภทอาหาร เสื้อผ้า รถยนต์ รวมทั้งสินค้าทุกประเภท หรือประเภทการให้บริการ เช่น โรงพยาบาล คลินิกแพทย์ แต่ละครั้ง เมื่อเกิดปัญหาของสินค้า และบริการระหว่างพ่อค้าผู้ประกอบธุรกิจกับผู้บริโภค ผู้บริโภคมักตกเป็นผู้เสียเปรียบหลายประ การ บางครั้งแม้รู้ว่าถูกหลอกถูกเอาเปรียบ ก็ไม่อยากจะพึ่งพากฎหมาย เพราะสาเหตุหลาย ประการ ดังนี้
                1. ผู้บริโภคไม่มีความรู้ทางเทคนิควิธี กระบวนการผลิตสินค้า โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีก้าวไกลทันสมัย ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถรู้ได้ว่าสินค้า หรือบริการที่ตัวเองซื้อหา มาใช้ มาครอบครอง มีกระบวนการวิธีผลิต หรือไม่ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์อย่างไร
                2. แม้ผู้บริโภคจะรู้ว่าตนเองได้สินค้าไม่สมบูรณ์ หรือได้รับการบริการที่ไม่สุภาพ ไม่ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า แต่ผู้บริโภคก็ไม่อยากเป็นความ เพราะการขึ้นโรงขึ้นศาลต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเอง ค่าจ้างทนาย ต้องเสียเวลา บางครั้งสินค้าราคาเล็กน้อย ไม่คุ้มกับการเป็นความ ฟ้องร้องผู้ประกอบการธุรกิจ
                3.แม้ผู้บริโภคจะใช้สิทธิฟ้องร้องผู้ประกอบการธุรกิจ แต่มักจะเสียเปรียบในชั้น พิจารณาคดีที่ไม่มีความรู้ความสามารถเสาะแสวงหาหรือพิสูจน์พยานหลักฐานว่า สินค้าหรือ บริการไม่สมบูรณ์อย่างไร เพราะกฎหมายเดิมให้ภาระการพิสูจน์เพื่อที่จะเอาผิดกับจำเลยตก อยู่กับผู้ฟ้องคดี
                4. สัญญาที่ผู้ประกอบการธุรกิจทำกับผู้บริโภค ผู้บริโภคเสียเปรียบเสมอ เพราะเป็นสัญญาสำเร็จรูป ที่มีข้อความผูกมัดผู้บริโภค  เช่น  สัญญาเช่าซื้อ  สัญญากู้ยืมเงินต่าง ๆ เป็นต้น
                จากการเสียเปรียบของผู้บริโภคดังกล่าว ผู้ประกอบการธุรกิจการค้า ที่ไม่สุจริตมัก ฉกฉวยโอกาสเพื่อหวังผลกำไร โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายของผู้บริโภคที่อาจได้รับความ เสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย หรือทรัพย์สิน เช่น ขายยาที่หมดอายุความแล้ว หรือสินค้าชำรุดด้านใน แต่ไม่ยอมบอกผู้บริโภค เพราะเกรงว่าจะขาดทุน ทำให้ผู้ประกอบการค้ากำไรเกิน ควร ประชาชนในฐานะผู้บริโภคต้องตกเป็นเบี้ยล่างเรื่อยมา
                แต่ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2551 ผู้ประกอบการธุรกิจที่ไม่สุจริตในการประกอบการค้า ไม่ว่าจะเป็นประเภทให้เช่าซื้อรถยนต์ ให้กู้ยืมเงิน หรือการขายสินค้าประเภทใดๆ ก็ตาม รวมถึงการให้บริการต่าง ๆ เช่น โรงพยาบาล โรงภาพยนตร์ ฯ ได้มีกฎหมายฉบับใหม่ ที่คุ้มครองผู้บริโภคให้เข้าถึงความยุติธรรมได้อย่างง่ายดาย คือ “พระราชบัญญัติวิธีพิจารณา คดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 หรือเรียกง่าย ๆ ว่าต่อแต่นี้ไป ข้อพิพาทระหว่างผู้ประกอบการ ธุรกิจกับผู้บริโภค หากมีกรณีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมาย อันเนื่องมาจากการ บริโภคสินค้าหรือบริการจะต้องขึ้น “ศาลผู้บริโภค” ที่มีชื่อตามศาลจังหวัดทุกจังหวัด กฎหมายฉบับนี้มีข้อดีซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคหลายประการ คือ
                1. ผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายจากสินค้าหรือบริการใดก็ตาม สามารถไปฟ้องศาล ผู้บริโภคได้ด้วยวาจา โดยไม่ต้องจ่ายเงินจ้างทนายความ แต่จะมีเจ้าพนักงานคดีของศาลเป็น ผู้ช่วยเขียนเรียบเรียงคำฟ้องไว้ให้ ทั้งเมื่อฟ้องไปแล้วหากคำฟ้องไม่ถูกต้อง ศาลอาจสั่งให้แก้ไข ให้ถูกต้องชัดเจนได้
                2. ผู้บริโภคได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล ยกเว้นผู้บริโภคฟ้องไม่มี เหตุผลอันสมควร หรือเรียกค่าเสียหายเกินสมควร ศาลอาจมีคำสั่งให้บุคคลนั้น ชำระค่า ฤชาธรรมเนียมได้
                3. อายุความในการฟ้องร้องในกรณีที่ความเสียหายเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพ อนามัยจากการบริโภค สินค้าหรือบริการสามารถใช้สิทธิเรียกร้องภายใน 3 ปี นับแต่วันที่รู้ถึง ความเสียหาย และรู้ตัวผู้ประกอบการธุรกิจที่ต้องรับผิด แต่ไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันที่รู้ถึง ความเสียหาย
                4. หากผู้ประกอบธุรกิจจะฟ้องผู้บริโภคบ้าง ต้องฟ้องที่ศาลผู้บริโภค ที่ผู้บริโภคมีภูมิ ลำเนา ซึ่งถ้าผู้บริโภคจะฟ้องผู้ประกอบการธุรกิจ ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่กรุงเทพฯ แต่มีตัวแทน ขายสินค้าหรือบริการอยู่จังหวัดที่ผู้บริโภคอาศัยอยู่ ผู้บริโภคสามารถฟ้องต่อศาลจังหวัดที่ ผู้บริโภคมีภูมิลำเนา ทำให้ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปศาลได้มาก อันเป็นการช่วยผู้ บริโภคที่ได้รับความเสียหาย
                5. ภาระการพิสูจน์ในศาลเกี่ยวกับการผลิตการประกอบการ ออกแบบหรือส่วนผสม ของสินค้า การให้บริการ หรือดำเนินการใด ๆ ซึ่งศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าว อยู่ในความรู้เห็น องผู้ประกอบธุรกิจก็ให้ผู้ประกอบธุรกิจนำสืบให้ศาลเห็น ทำให้ง่ายต่อผู้บริโภคเพียงแต่ พิสูจน์ว่าตนเองได้รับความเสียหายจริง จากการใช้สินค้าหรือบริการนั้นเท่านั้น
                ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนวิธีพิจารณาในศาล ซึ่งเป็นประโยชน์และสร้างความเป็นธรรม รวมทั้งมีแต้มต่อให้กับผู้บริโภคอีกหลายประเด็น แต่อย่างไรก็ตามเจตนารมณ์ เบื้องต้นของศาลผู้บริโภค จะดำเนินการไกล่เกลี่ยให้คู่ความได้ตกลงกัน หรือประนีประนอม ยอมความเป็นสำคัญ แต่ขอย้ำต่อจากนี้ไปผู้ประกอบการธุรกิจจะถูกผู้บริโภคฟ้องง่ายขึ้น และมากขึ้น ทั้งเป็นเรื่องใหม่ต่อศาลที่จะต้องรับภาระคดีพิพาทระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจ และผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม หากผู้ประกอบการธุรกิจมีความรับผิดชอบต่อสินค้า หรือการให้บริการ มีความสุจริตจริงใจไม่ค้ากำไรเกินควร ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะต้องขึ้น “ศาลผู้บริโภค” แต่อย่างไร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 22, 2012, 10:52:37 am โดย Fuddy » บันทึกการเข้า
ชายอิสระ
n
Sr. Member
****

like: 72
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1887



เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 24, 2012, 07:45:56 am »


มาตราฐานมิตซู น่าจะโดนเป็นตัวอย่างสักคดี .. oop oop
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.18 | SMF © 2006-2009, Simple Machines
by Pajerosport-Thailand TEAM
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.034 วินาที กับ 20 คำสั่ง