สื่อนอกตีพิมพ์ เหตุใดภรรยาไทยจึงหึงแรง ถึงขั้นตัดเจ้าโลก ? 
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ใครที่เป็นคนไทยแท้ ๆ คงจะได้เห็นข่าวประเภท "เมียไทยหึงโหด ย่องหั่นพวงสวรรค์สามีกลางดึก" อยู่เนือง ๆ และปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นข่าวที่ได้ยินทีไรก็รู้สึกตกตะลึงไปทุกครา แต่สำหรับฝรั่งนี่สิ ข่าวเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้ตกตะลึงในความหึงโหดของผู้หญิงเท่านั้น ในความรู้สึกพวกเขายังคิดว่ามันเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยเหลือเกินในประเทศ ไทย ขนาดที่มีสื่อนอกอย่าง Guardian เว็บไซต์ข่าวของประเทศอังกฤษ ถึงกับเขียนบทความพิเศษเรื่อง "เหตุใดหญิงไทยถึงเฉือนอวัยวะเพศของสามี" ลงในหมวด "การค้นคว้าที่ไม่น่าเป็นไปได้" (improbable research) เพื่อหาคำตอบของข้อสงสัยกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ เลยทีเดียว
บทความดังกล่าวถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์การ์เดียน ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยผู้เขียนบทความพยายามหาคำตอบมาไขข้อสงสัยพฤติกรรมโหด ที่หั่นทิ้งอวัยวะซึ่งเป็นสัญลักษณ์ความเป็นชายของสามี โดยอ้างอิงบทความการศึกษาถึง 3 ชิ้นด้วยกัน
ชิ้น แรกชื่อว่า Surgical Management of an Epidemic of Penile Amputations in Siam (การจัดการผ่าตัดกรณีเฉือนอวัยวะเพศซึ่งระบาดในสยาม) โดยนายแพทย์เกษียร ภังคานนท์ ร่วมกับแพทย์อีก 4 ท่าน จากโรงพยาบาลศิริราช อันได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร American Journal of Surgery ปี 1983 โดยตัวบทความได้อธิบายเหตุการณ์ตัดอวัยวะเพศไว้ว่า
"สิ่ง นี้เริ่มระบาดในสังคมไทยตั้งแต่หลังช่วงปี 1970 เป็นต้นมา โดยภรรยาผู้รู้สึกขายหน้าเนื่องจากสามีนอกใจรอจนถึงกลางดึกที่สามีนอนหลับ สนิท แล้วจึงย่องใช้มีดเฉือนอวัยวะเพศของสามีมา" นอกจากนี้ยังอธิบายต่อไปว่า "บ้าน ไทยมีลักษณะยกพื้นสูงเพื่อให้ลมพัดผ่านได้ดี และใต้ถุนจะถูกใช้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ เช่น หมู ไก่ หรือเป็ด เมื่อภรรยาโยนอวัยวะเพศที่เฉือนทิ้งลงมาทางหน้าต่าง ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะมีเป็นตัวใดตัวหนึ่งมาคาบไปกิน"
แค่บทเกริ่นนำก็เล่าเสียเห็นภาพ และนึกตามได้เป็นฉาก ๆ ส่วนตัวเนื้อหาของบทความนั้น ประกอบด้วยการบอกเล่าถึงกรณีผ่าตัดผู้ป่วยชายซึ่งมารักษาเนื่องด้วยถูกตัด อวัยวะเพศทั้งหมด 18 ราย พร้อมแนะนำเทคนิคที่ใช้ในการผ่าตัดสำหรับกรณีเช่นนี้ และได้ทิ้งท้ายสิ่งที่ชวนคิดเอาไว้ในส่วนท้ายของบทความว่า "น่าประหลาดใจที่ไม่มีผู้ป่วยคนใดดำเนินการฟ้องภรรยาถึงการกระทำนี้เลย"
ส่วน ชิ้นที่สองคือ Factors Associated with Penile Amputation in Thailand (ปัจจัยเกี่ยวข้องที่นำมาสู่เหตุหั่นอวัยะเพศในประเทศไทย) โดย 2 นักวิจัยจากเมดิคัล คอลเลจ แห่งจอร์เจีย ได้รับการปีพิมพ์ในวารสาร Nursing Connections ในปี 1980 นักวิจัยทั้งคู่ได้ทำการเก็บข้อมูลจากการพูดคุยศึกษากับอดีตสามีภรรยา 3 คู่ ที่ผ่านประสบการณ์ตัดอวัยวะเพศ (ทั้งผู้ตัดและผู้ถูกตัด) จนได้ข้อสรุปที่น่าสนใจออกมา 3 ประการ ซึ่งทั้งสามสิ่งนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ ก่อนที่จะเกิดเหตุการเฉือนจ้าวโลก ได้แก่
1. เกิดสถานการณ์คับขันด้านการเงิน
2. ฝ่ายชายได้เสพสารเสพติด หรือดื่มแอลกอฮอล์ในคืนเกิดเหตุ
3. ภรรยาได้รับความอับอายขายหน้าจากผู้คน เนื่องจากการปรากฏตัวของหญิงผู้เป็นอนุของสามี
จะว่าไปแล้ว ทั้ง 3 ข้อนี้ ก็เป็นเหตุการณ์ที่คนไทยอย่างเรานึกภาพสถานการณ์ตามได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว
ส่วนบทความชิ้นสุดท้าย คือ บทความในวารสาร Urology ในปี 2008 ที่ได้ตีพิมพ์บทความย้อนหลังชิ้นหนึ่งเรื่อง The Epidemic of Penile Amputation in Thailand in the 1970s (การระบาดของเหตุการณ์เฉือนอวัยวะเพศในประเทศไทย ช่วงปี พ.ศ. 2513-2522) จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ซึ่งระบุว่า
"การที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ในสังคมเข้าข้าง และให้การสนับสนุนเชิงยั่วยุแก่หญิงที่ถูกนอกใจให้ลงมือทำเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้สภาพการณ์แย่ลง นอกจากนี้ยังพบว่าเรื่องเฉือนเจ้าโลกทิ้งนี้ เป็นกรณีพบได้มากในสังคมซึ่งยึดถือเรื่องการซื่อตรงต่อคู่ครองไว้อย่าง เหนียวแน่น"
ใน ฐานะคนไทยอย่างเรา ไม่ว่าจะอ่านงานศึกษาจากบทความชิ้นไหน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งหมดนั้นล้วนเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ทั้งพฤติกรรมนอกใจฝักใฝ่หญิงอื่นของสามี ความน้อยเนื้อต่ำใจและความอับอายของภรรยา เนื่องด้วยสังคมที่อาศัยอยู่นั้นให้ค่ากับการรักเดียวใจเดียวไว้อย่างเหนียว แน่น อีกทั้งคนส่วนใหญ่ก็เข้าข้างเชิงยุยงให้ภรรยาผู้เป็นหลวงจัดการขั้นเด็ดขาด จึงกลายเป็นความแค้นที่ถูกขับดันด้วยความยั้งคิด เกิดเป็นเหตุเฉือนเจ้าโลกต้นตอของปัญหาทิ้งไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดดังที่ กล่าว
แต่อย่างไรก็ดี หากมองให้ลึกซึ้งโดยตัดเรื่องความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และความคับแค้นต่าง ๆ ออกไป การกระทำซึ่งทำให้ผู้อื่นสูญเสียอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายไป ก็นับเป็นเรื่องเกินกว่าเหตุ และเพราะสิ่งนี้เองกระมัง จึงได้ทำให้คนต่างชาตินึกสงสัยคนไทยนักว่า เหตุใดการเฉือนเจ้าโลกสามีสำส่อนโดยภรรยาชาวไทย ถึงยังได้เกิดขึ้นต่อเนื่องมากกว่าที่อื่นใดในโลก
แล้วคุณล่ะ คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้บ้างคะ ?
