Pajero Sport-Thailand ปาเจโร่สปอร์ตไทยแลนด์

Small Room => ประชาสัมพันธ์/ข่าวสาร/บทความ/ข้อมูล/ความรู้ต่างๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: naruto ที่ มีนาคม 16, 2012, 10:00:50 pm



Languages

หัวข้อ: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: naruto ที่ มีนาคม 16, 2012, 10:00:50 pm
ปูพื้นฐานกับ ส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย

     คิดจะแต่งรถทั้งที ไม่ใช่แต่งแต่ให้แรงๆ และ เร็วๆ เพียงอย่างเดียวนะครับ แต่ที่ต้องคำนึงอีกสิ่งก็คือ หยุดๆ และให้อยู่ๆ ด้วย บางคนคิดว่า เอาเครื่องให้แรงๆไว้ก่อน เบรกเดียวค่อยเก็บเงินทำทีหลัง ผลแรงจริงๆ แต่มิดไปแล้วครับพี่ จะทำเบรกสักหน่อย แต่กลับต้องเปลี่ยนเป็นทำสีทั้งคัน บางคนบอกเบรกอยู่ดีแล้ว ไม่เคยมีปัญหา แต่พอซัดๆ เบรกๆ บ่อยๆ เข้าเหยียบเบรกอีกที อุ๊ยต๊ายตาย เบรกหายไปซะยังนั้นก็มี นั่นไงล่ะ เจออาการเบรกเฟดเข้าให้แล้ว สำหรับรถแรงๆ บางครั้งขับไล่เกียรหนึ่งมาเต็ม พอสับเข้าเกียรสอง แต่มีเหตุให้เหยียบต้องเบรกซะอย่างนั้น อ้าวเบรกข้าหายไปไหน ต้องแก้เอาชีวิตรอดกันพัลวัน ทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นได้ อนิจจา คราวนี้เรามาทำความเข้าใจเรื่องระบบเบรกกันก่อนดีกว่า แล้วต่อด้วยปัญหาต่างๆ และการดูแลรักษาระบบเบรก ให้เข้าใจกันก่อน แล้วจึงค่อยมาดูกันว่า การจะโมดิฟลายระบบเบรกให้ดีขึ้น ควรจะเริ่มต้นที่จุดใด และเขามีวิธีการโมดิฟลายอย่างไรกันบ้าง สนใจส่วนใดเลือกอ่านดูละกัน

(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-13-brake1/tip14brake1.jpg)(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-13-brake1/tip14brake2.gif)

ส่วนประกอบของระบบเบรก
1. แป้นเบรก (Brake Pedal) หรือขาเบรก เป็นอุปกรณ์ที่ติดอยู่ในรถ ทำหน้าที่คล้ายคานกด รับแรงกดมาจากขา (เท้า) ของผู้ขับขี่ เมื่อเหยียบเบรก ขาเบรกก็จะไปกดสากเบรก ที่สามารถปรับตั้งให้เบรกสูง หรือต่ำได้ ให้เข้าไปกดชุดดันในหม้อลมเบรก
2. หม้อลมเบรก ( Booster) เป็นอุปกรณ์ช่วยเพิ่มแรงกด ให้กับขาของเราให้มีแรงกดมากขึ้น ออกแรงเหยียบน้อยลง โดยภายในจะเป็นชุดสุญญากาศ ต่อแรงลมดูดมาจาก เช่นในรถเครื่องยนต์เบนซิล จะต่อมาจากท่อร่วมไอดี หลังลิ้นปีผีเสื้อในบริเวณนี้ในรอบต่ำ ที่ลิ้นปีผีเสื้อยังเปิดไม่สุด แรงดูดของลูกสูบจะทำให้เกิดแรงดูดสุญญากาศสูงมาก แต่ในรอบเครื่องสูงๆแรงดูดจะน้อยลง หม้อลมนั้นจึงจำเป็นต้องมีขนาดใหญ่ เพื่อเก็บสะสมแรงดูดสุญญากาศไว้ให้มากๆ เพื่อไว้ใช้ในตอนเบรกที่รอบสูงๆ และการเบรกติดต่อกันหลายๆครั้ง ส่วนในเครื่องยนต์ดีเซลมักจะต่อมาจาก ปั้มสุญญากาศแบบอิสระ หรือต่อพ่วงจากปั้มลมหลังตูดไดชาร์จอีกที
3. วาล์วสุญญากาศ (Combo Vale) เป็นลักษณะ One Way Vale ทำหน้าที่ให้ระบบสุญญากาศ เป็นไปในทิศทางเดียว คือให้มีแรงดูดจากหม้อลมเบรกไปยังเครื่อง หรือปั้มลม ป้องกันแรงดันสุญญากาศย้อนกลับ หรือรั่วไหลออกจากหม้อลม

(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-13-brake1/tip14brake7.gif)(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-13-brake1/tip14brake5.jpg)

4. แม่ปั้มเบรก (Master Cylinder)  เป็นชุดสร้างแรงดันไฮโดริคให้กับน้ำมันเบรก ให้เกิดแรงดันสูง ภายในประกอบด้วยชุดลูกยางเบรกหลายตัว แต่ละตัวมีหน้าที่ส่งแรงดันของน้ำมันเบรก ไปในสาย หรือท่อน้ำมันเบรก แรงดันขึ้นอยู่กับขนาดของแม่ปั้ม ลูกสูบเบรก ขนาดของลูกยางเบรก และระยะของสากเบรกที่ติดกับแป้นเบรกว่ามีอัตตราทดเท่าไร
5 น้ำมันเบรก (Brake Fluid) เป็นสารเหลวที่ใช้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดกำลัง แบบไฮโดรลิคไปสู่ปั้มเบรค หรือคาริบเปอร์เบรก อีกทั้งยังเป็นสารหล่อลื่นให้กับลูกยางเบรก ลูกสูบเบรก คุณสมบัติของน้ำมันเบรกแบ่งตามคุณสมบัติการทนความร้อน หรือที่เรียกกันว่า DOT (Department of Transportation) โดย DOT3 จะทนความร้อนได้ไม่ต่ำกว่า 205 องศา DOT4 ทนความร้อนได้ไม่ต่ำกว่า 230 องศา และDOT5 สามารถทนความร้อนได้ไม่ต่ำกว่า 260 องศาเซลเซียส
6. ท่อน้ำมันเบรค และสายอ่อนเบรก (Brake Lines) อยู่ในระบบส่งแรงดัน ท่อน้ำมันหรือที่เรียกกันว่า แป๊ปเบรก เป็นท่อเหล็ก หรือทองแดงภายในกลวง เพื่อให้น้ำมันเบรกไหลผ่านด้วยแรงดันสูง

(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-13-brake1/tip14brake3.jpg)(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-13-brake1/tip14brake4.jpg)

7. สายอ่อนเบรก (Brake Host) สายอ่อนเบรกทำมาจากท่อยางไฮโดรลิค หลายชั้นหุ้มด้วยยางกันการเสียดสี และกันความร้อน สามารถอ่อนตัวไปตามการหมุนของล้อ และการขยับของช่วงล่างได้อย่างคล่องตัว
8. ปั้มเบรก หรือคาริเปอร์เบรก (Caliper Brakes)
ถ้าเป็นระบบดิสเบรก จะเป็นลักษณะเหมือนปากคีบ หรือเรียกกันว่าก้ามปู ภายในบรรจุลูกสูบเบรก แบ่งตามจำนวนลูกสูบ เรียกว่า พอร์ท เช่น 1 พอร์ท หรือ 4 พอร์ท เพื่อป้องกันการรั่วไหลของน้ำมันเบรกด้วยลูกยางเบรก เป็นชีลกลมๆรอบๆลูกสูปเบรก ป้องกันฝุ่นและน้ำเข้าด้วยลูกยางกันฝุ่นอีกครั้ง
ในระบบดรั้มเบรก ปั้มเบรก จะเรียกกันว่ากระบอกเบรก เป็นลักษณะเป็นแท่งกลวงยาว ภายในบรรจุลูกสูบเบรก เป็นแท่งกลมประกอบติดกับลูกยางเบรกทั้ง 2 ด้านต่อมาดันผ้าดรัมเบรกให้ขยับเข้าออกได้
9. จานเบรค แบ่งได้เป็น 2 ระบบคือ
ระบบ ดรั้มเบรก (Drum Brakes) จานเบรกจะเป็นรูปถ้วย มีชุดแม่ปั้มเบรก และผ้าเบรกประกอบอยู่ภายใน ผ้าดรัมเบรกจะเป็นลักษณะรูปเสี้ยวครึ่งวงกลม 2 ชิ้น ประกอบกับชุดสปริงดึงกลับ ชุดสายเบรคมือ และชุดตั้งระยะห่างของผ้าเบรก
ข้อดี ผ้าเบรก และจานเบรก มีเนื้อที่สัมผัสกันมาก การเบรกจึงมีประสิทธิภาพสูง สิ้นเปลืองวัสดุน้อย ผ้าเบรกสึกช้ากว่าอายุการใช้งานยาวนาน หมดปัญหาเรื่องจานเบรกคด
ข้อเสีย ระบายความร้อนได้ช้า ในการใช้งานเบรกหนักจะเกิดอาการเบรกเฟด (เบรกลื่นในขณะความร้อนสูง) ต้องคอยตั้งระยะผ้าเบรกอย่างสม่ำเสมอ ระยะผ้าเบรกในแต่ละล้อที่ไม่เท่ากัน ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเบรกไม่เท่ากันไปด้วย รถอาจเสียการทรงตัวเวลาเบรกได้ ถ้ามีการเปียกน้ำต้องใช้เวลาในการสลัดน้ำทิ้งนาน หรือรอเกิดความร้อนจนน้ำแห้ง และจะเกิดอาการลื่น เกิดการสะสมตัวของฝุ่นเบรก ทำให้ประสิทธิภาพต่ำลง
ระบบ ดิสเบรก (Disk Brakes) จานเบรกเป็นลักษณะกลมแบน คล้ายจานดิส มีทั้งแบบมีร่องระบายความร้อน และไม่มีร่องระบายความร้อน จานเบรกทำมาจากวัสดุหลายชนิด เช่นเหล็กหล่อ และวัสดุผสม ผ้าเบรกแบ่งเป็น 2 ชิ้นประกบกับจานเบรก โดยมีแม่ปั้มเบรก หรือก้ามปูหนีบไว้อีกที
ข้อดี มีการระบายความร้อนที่ดี ลดอาการเบรกเฟดในการใช้งานเบรกติดต่อกัน และรุนแรง ระยะห่างผ้าเบรกมีการปรับตั้งได้เอง ตามความหนาของผ้า ทำให้ประสิทธิภาพดีเท่ากันในทุกล้อ ลดการสะสมตัวของฝุ่นเบรก
ข้อเสีย จานเบรกติดตั้งภายนอกสัมผัสกับความชื้น น้ำ และฝุ่นผง ทำให้มีการสึกหรออย่างรวดเร็ว เกิดอาการบิดตัวได้ง่าย เมื่อต้องเจอกับน้ำในขณะมีความร้อน ใช้ต้นการผลิตทุนสูง

(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-13-brake1/tip14brake8.jpg)(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-13-brake1/tip14brake9.jpg)

10. ผ้าเบรก (Brake Pad)  เป็นตัวที่ทำให้เกิดความฝืดระหว่าง ผ้าเบรก และจานเบรก ความฝืดมากมีผลทำให้รถยนต์ ลดความเร็วได้ระยะทางที่สั้นลง ผ้าเบรกแบ่งเกรดตามวัสดุที่ใช้ผสมในเนื้อผ้าเบรก และค่าความฝืดหรือค่า มิว Coefficient of Friction ได้ 3 แบบคือ
1. NAO (Non Asbestos Organic) ใช้วัสดุที่มีความอ่อน จำพวก เคฟล่า ส่วนผสม ของยางไม้ ไฟเบอร์ จากเดิมที่เคยใช้พวกแร่ใยหิน Asbestos ที่ถูกยกเลิกไปแล้ว เนื่องจากความไม่ปรอดภัยต่อระบบหายใจ พวกนี้จะมีความฝืดที่ดีในอุณหภูมิต่ำ แต่ที่ความร้อนสูงจะจับตัวได้ไม่ดี มีเสียงรบกวนน้อย ส่วนมากใช้กับรถ OEM จากโรงงาน ระดับความฝืดอยู่ที่ 0.30 - 0.45
2. Semi-Metallic ใช้วัสดุจำพวกใยโลหะที่มีความอ่อน มีส่วนประกอบเช่น เนื้อไฟเบอร์ประมาณ 50% เป็นตัวช่วยให้เกิดความฝืด และทนความร้อน ใช้เรซิ่นประมาณ 15% ช่วยในการประสานตัว และสาร Abrasive 10% และพวก Metal Power อีก 10 % พวกนี้จะมีความฝืดดีที่อุณหภูมิสูง ใช้กับรถบรรทุกหนัก และรถที่ใช้งานเบรกหนักอย่างต่อเนื่อง เช่นรถที่ชอบขับที่ความเร็วสูงเบรกบ่อยๆ ระดับความฝืดจะอยู่ที่ 0.40-0.55
3. Fully Metallic ใช้วัสดุพวกผงเหล็กที่มีความละเอียด เช่นผงทองแดง ไททาเนียม เซรามิค คาร์บอน มาขึ้นรูป ผ้าเบรกพวกนี้จะมีประสิทธิภาพมากที่ความร้อนสูง มีความฝืดคงที่ แต่จะมีเสียงดัง มีการสึกหรอสูงทั้งผ้าเบรก และจานเบรก เหมาะสำหรับรถแข่งในสนามแข่งขันที่จานเบรกร้อนตลอดเวลา ระดับความฝืดอยู่ที่ 06.0 ขึ้นไป

(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-13-brake1/tip14brakefront.jpg)(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-13-brake1/tip14brake10.gif)


CREDIT บทความโดย : webmaster  thaispeedcar.com


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: naruto ที่ มีนาคม 16, 2012, 10:01:06 pm
ปัญหายอดฮิตของระบบเบรก

เบรกตื้อ  เป็นอาการที่เวลาเหยียบเบรก แล้วรู้สึกว่า เบรกมันไม่ค่อยอยู่ เบรกแข็งๆ ต้องออกแรงเหยียบเบรกมากๆ อาการเบรกตื้อ เกิดมาจากหลายสาเหตุ เช่น แรงดูดสุญญากาศของหม้อลมน้อย เพราะปั้มตูดไดชาร์จเสีย หรือผ้าในหม้อลมรั่ว วาล์ว PVC หรือ Combo Vale เสีย สายลมรั่ว
เบรกต่ำ เวลาเหยียบเบรกแล้วรู้สึกว่า แป้นเบรกจมลงต่ำกว่าปรกติ เหยียบค้างไว้เบรกค่อยๆจมลงๆ เป็นอาการของเบรกต่ำ ส่วนมากเกิดมาจาก ลูกยางแม่ปั้มเบรกบน มีอาการสึกหรอ หรือบวม ทำให้แรงดันเบรกลดลง ต้องออกแรงเบรกมากขึ้น หรือต้องเหยียบเบรกซ้ำๆกัน หลายๆครั้ง
เบรกติด อาการเหมือนรถมีอาการเบรกทำงานอยู่ตลอดเวลา รถจะตื้อ เบรกร้อนมีกลิ่นเหม็นไหม้ เบรกปัดซ้าย-ขวา รถวิ่งไม่ออก จอดแล้วเข็นรถไม่ได้ เป็นอาการของเบรกติด ส่วนมากเกิดจาก การลูกยางกันฝุ่นของแม่ปั้มเบรกเสีย ทำให้มีน้ำซึมเข้าไปในกระบอกเบรก จนเกิดสนิมติดขัด ลูกสูบเบรกไม่สามารถเคลื่อนตัวเข้าออกได้
การแก้ไข เปลี่ยนชุดซ่อมแม่ปั้มเบรกล่าง ถอดมาขัดสนิมออก ทั้งแม่ปั้ม และกระบอกเบรก หรือถ้ามีสนิมมากจนเกิดตามด จะทำให้น้ำมันเบรกรั่วซึมได้ ต้องเปลี่ยนลูกสูบเบรก หรือแม่ปั้มทั้งชุด

(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-14-brake2/tip15brake5.jpg)(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-14-brake2/tip15brake3.jpg)

เบรกแตก คืออาการ เหยียบเบรกแล้ว แป้นเบรกที่ขาเบรกจม จนแป้นเบรกกระทบกับพื้นรถ หรือนิ่มหยุ่นๆก่อนแล้วจมลงติดพื้น เมื่อเหยียบเบรกแล้วรถยังคงวิ่งที่ความเร็วเท่าเดิม เหมือนไม่มีเบรก
สาเหตุ
1. เกิดจากรั่วของน้ำมันเบรก เช่นสายอ่อนเบรกแตก ท่อแป๊ปเบรกแตก หรือน้ำมันเบรกรั่วซึมมาเป็นเวลานาน ลูกยางแม่ปั้มเบรก และแม่ปั้มเบรกเก่า เสียหายจนน้ำมันเบรกรั่วไหลออกจนหมด
2. ผ้าเบรกหมด จนหลุดออก เป็นไปได้บ่อยครั้งที่ เวลาที่ผ้าเบรกหมดนานๆ และยังปล่อยไว้ไม่ได้รับการเปลี่ยน ผ้าเบรกจะบางมากจนหลุดออกจากฝักก้ามปูเบรก จะทำให้ลูกสูบเบรกหลุด เบรกจะแตกทันที
3. ส่วนประกอบในระบบเกิดการหลุดหลวม เกิดได้หลายสาเหตุ เช่นสากแป้นเบรก (ที่ตั้งได้ไขไม่แน่นหลุดเกลียว หรือไม่ได้ใส่สลักล็อค) น็อตยึดขาเบรกหลุด ฝักเบรก หรือคาริบเปอร์เบรกยึดไม่แน่น และส่วนประกอบต่างๆในระบบเบรกประกอบไม่แน่นหลุดออก
4. สายอ่อนเบรกแตก สายอ่อนที่เก่ามากๆ จะเกิดอาการบวม เวลาปกติก็ดูดี แต่พอเหยียบเบรกกลับ พองตัวเหมือนลูกโป่ง พวกนี้อันตรายมาก เวลาเหยียบเบรกเบาๆแรงดันน้ำมันเบรกต่ำก็รู้สึกดี แต่พอเวลาคับขัน เหยียบเบรกกะทันหันอย่างแรง สายอ่อนเบรกก็เกิดการรับแรงดันไม่ไหวแตกออก และการติดตั้งสายอ่อนเบรกไม่ดี เสียดสีกับล้อ และยาง หรือเสียดสีกับระบบช่วงล่างของรถ

(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-14-brake2/tip15brake4.jpg)(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-14-brake2/tip15brake2.jpg)

เบรกหมด  คืออาการ เบรกแล้วเกิดเสียงดัง เหมือนเหล็กสีกับเหล็ก เบรกลื่นๆ
เป็นอาการของเวลาที่ผ้าเบรกหมด ผ้าเบรกบางรุ่นจะมีส่วนที่เป็นตุ่มโลหะมาแตะกับจานเบรกเพื่อให้เกิดเสียงดัง เป็นอาการส่งสัญญาณเตือน หรือติดตั้ง สวิทซ์ไฟโชว์ไว้ที่แผงหน้าปัด ต้องรีบเปลี่ยนโดยทันที เพราะจะทำให้ผ้าเบรกสีกับจนเบรกเสียหาย จนต้อเปลี่ยนจานเบรกใหม่ เสียเงินเพิ่มอีก
เบรกสั่น คืออาการที่เหยียบแล้ว แป้นเบรกเกิดอากาสั่นขึ้นๆลงๆ รู้สึกได้ด้วยเท้า รถที่เบรกสั่นมากๆจะรู้สึกสั่นถึงพวงมาลัย หรือเวลาเหยียบเบรก เกิดอาการสั่นสะท้านไปทั้งคัน
สาเหตุเกิดจาก จานเบรกเกิดการคดบิดตัว เพราะการใช้งานที่รุนแรงกินไป การลุยน้ำ (จานเบรกที่ร้อนจัด เวลาเจอน้ำมักจะบิดตัวได้ง่าย) ลูกปืนล้อหลวม น็อตล้อหลวม ผ้าเบรกสึกหรอไม่เท่ากัน อาการนี้เกิดได้ทั้งระบบดิสเบรก และดรัมเบรก
เบรกเสียงดัง อาการ มีเสียงดังที่เกิดขึ้นในขณะเบรก ส่วนมากเกิดมาจาก ผ้าเบรก และจานเบรก เช่นผ้าเบรกหมด จนเหล็กผ้าสีกับจาน จานเบรกเป็นรอยมากๆเนื่องจากฝุ่น และหินที่หลุดเข้าไปเสียดสี ต้องเจียรจานเบรกใหม่ แต่ถ้าผ้าเบรกก็ใหม่ จานเบรกก็เรียบดี เสียงที่ดังมักเกิดจาก เสียงของผ้าเบรกเอง ผ้าเบรกที่ผลิตไม่ได้มาตราฐาน อัดขึ้นรูปผิดพลาด จะเกิดรอยร้าว เป็นช่องว่างให้อากาศเข้าได้จะเกิดเสียงดัง แล้วอย่าหวังเลยครับว่าใช้ไปเรื่อยๆ แล้วเสียงจะหายเอง ถือว่าน้อยมาก การเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่ถือว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดครับ

เบรกเฟด คืออาการเบรกลื่นๆ เบรกไม่อยู่ในขณะที่ใช้ความเร็วสูง หรือติดต่อกันหลายๆครั้ง หรือใช้เบรกแบบหักโหม อาการนี้เกิดขึ้นเช่น เวลาที่ขับรถมาด้วยความเร็วสูงมากๆ พอแตะเบรกครั้งแรกก็เบรกอยู่ดี พอแตะเบรกอีกหลายๆทีกลับเกินอาการลื่นเหมือนยังไม่เหยียบเบรกเลย ถือว่าน่ากลัวมาก
สาเหตุเกิดจาก ความร้อนของจานเบรกที่สูงเกินไป จานเบรกที่ใช้งานหนักอาจจะเกิดความร้อนสูงกว่า 1,000 องศา จานเบรกอาจเกิดการไหม้แดง เหมือนเหล็กถูกเผาไฟ และเกิดการขยายตัวมาก การระบายความร้อนของจานเบรกไม่ดี ผ้าเบรกที่มีคุณสมบัติในการทนความร้อนต่ำ จะเกิดการลุกไหม้เสียหาย ไม่สามารถจับจานเบรกให้อยู่ได้ รวมถึงน้ำมันเบรกที่คุณสมบัติในการทนความร้อนต่ำ จะทำให้น้ำมันเบรกเดือด เกิดการขยายตัวเป็นฟองอากาศ ทำให้แรงดันไฮโดลิคลดต่ำลง
อาการเบรกเฟดนี้ ถือเป็นปัญหาของนักซิ่ง ที่ชอบใช้เบรกแบบรุนแรง เบรกบ่อยๆติดต่อกัน และ รถที่ขับด้วย ความเร็วสูง

(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-14-brake2/tip15brake7.jpg)(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-14-brake2/tip15brake8.jpg)

การดูแลรักษาระบบเบรก และข้อควรระวัง
การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก แม้ว่าจะไม่มีการรั่วหรือลดระดับลงอย่างใดก็ตาม น้ำมันเบรกควรได้รับการเปลี่ยนถ่ายปีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะน้ำมันเบรกมีส่วนประกอบมาจากน้ำมันแร่ จึงมีการรวมตัวกับไอน้ำได้ง่าย ทำให้ระบบเบรกเกิดสนิม ความร้อนที่สูงเกินไปทำให้เกิดฟองอากาศในท่อน้ำมัน ฝุ่นผงที่สึกหรอของลูกยางเบรกจะเสียดสี กับแม่ปั้มเบรก ทำให้กระบอกเบรกเสียหายเร็วขึ้น น้ำมันเบรกต้องเลือกใช้ให้ตรงกับมารตราฐานที่ผู้ผลิตกำหนด เช่น DOT3 จะไม่สามารถนำน้ำมันเบรก DOT อื่นผสม หรือนำน้ำมันอื่นๆเติมแทน เพราะจะทำให้ลูกยางเบรกบวมได้
การเช็คระยะห่างผ้าเบรก ในระบบดรั้มเบรก ระยะห่างระหว่างผ้า และจานเบรกที่มากขึ้น จะสังเกตได้จากการเหยียบเบรกจะต่ำลง และการดึงเบรกมือที่สูงขึ้น ระดับน้ำมันเบรกลดต่ำลง ควรต้องทำการถอดจานเบรกมาทำความสะอาด เป่าฝุ่นทิ้ง และตั้งระยะผ้าเบรกให้ชิดขึ้น การตั้งจะใช้ไขควงเขี่ยเฟืองตั้งให้หมุนตามฟันตั้ง ด้านหลังจานเบรก ใส่ล้อไขให้แน่นแล้วหมุนสังเกตถ้าล้อเริ่มหมุนฝืดขึ้น ถือว่าใช้ได้ ทำทั้ง 2 ล้อ หรือสังเกตจากเสียงแกรกๆ เวลาดึงเบรกมือควรจะอยู่ที่ 5 – 7 แกรก

การตรวจสอบผ้าเบรก ผ้าเบรกเป็นส่วนที่สึกหรอเร็วกว่าส่วนอื่น เพราะมีการเสียสีทั้งจานเบรก และฝุ่นต่างๆ ควรถอดเช็คเป็นประจำ สังเกตเปรียบเทียบกับผ้าเบรกของใหม่แกะกล่อง จะมีความหนาเป็น 100 % ผ้าเบรกที่ใช้แล้วความหนาจะลดลงเรื่อยๆ ในจุดที่ต่ำกว่า 40 – 30 % นั้นถือว่าไม่ปลอดภัย เพราะผ้าเบรกในช่วงที่เหลือน้อย การสึกหรอจะรวดเร็วกว่าหลายเท่าตัว จนถึงระดับบางมาก เนื้อผ้าเบรกอาจหลุดร่อนได้อย่างกะทันหัน เป็นผลให้แผ่นเหล็กสีกับจานเบรกจนเสียหาย เสียเงินเพิ่ม หรือถ้าผ้าเบรกหลุดออกจากฝักเบรก ลูกสูบปั้มเบรก และน้ำมันเบรกจะหลุดออก ที่เรียกกันว่าเบรกแตกนั้นเอง
การเปลี่ยนจานเบรก และการเจียรจานเบรก การใช้ผ้าเบรกที่มีโลหะผสมอยู่มาก ฝุ่น หิน และการปล่อยให้ผ้าเบรกหมด จะทำให้จานเบรกเป็นรอย การขับรถลุยน้ำขณะที่จานเบรกร้อน จะทำให้จานเบรกคด หรือบิดตัว ต้องทำการเจียรจาน ด้วยเครื่องมือเจียรจานเบรก ทำได้ 2 วิธี การถอดจานเบรกมาเจียรด้วยเครื่องเจียรจาน แบบนี้ต้องใช้ค่าแรงสูงและอาจต้องมีการเปลี่ยนจารบีลูกปืนล้อใหม่ เสี่ยงต่อเศษฝุ่นผงเหล็กปะปนกับการประกอบจานเบรกคืน และการใช้เครื่องเจียรจานแบบประชิดล้อ แบบนี้ไม่ต้องเสียเวลาถอดจานเบรก และลูกปืนล้อ แต่ความเที่ยงตรงไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับสภาพดุมล้อ และลูกปืนล้อ ว่าหลวมหรือคดหรือไม่ การเจียรจะทำให้จานเบรกบางลง จานเบรกที่บางจะทำให้เกิดการแตกร้าว และคดได้ง่าย ควรเปลี่ยนจานเบรกใหม่ถือเป็นการดีที่สุด
การทำความสะอาดจานเบรก ถ้ามีจารบี หรือสิ่งแปดเปื้อน ติดอยู่ที่จานเบรก ควรใช้น้ำยาล้างจานเบรกโดยเฉพาะ ไม่ควรใช้น้ำมันอื่นๆมาทำความสะอาด หรือถ้าไมมีจริงๆ ควรใช้ทินเนอร์ 100% หรือ แอลกอลฮอลบริสุทธิเท่านั้น
การตรวจสอบสายอ่อนเบรก ควรตรวจสอบเป็นประจำสม่ำเสมอ ถ้าเห็นว่ามีอาการบวม บิดคดเสียรูป ปลอกหุ้มภายนอกฉีกขาด หรือมีการเสียดสี ควรรีบเปลี่ยนทันที เพราะอาจจะเกิดการแตกได้ง่ายๆ
การล้างและเปลี่ยนชุดซ่อมเบรก เบรกที่ได้รับการใช้งานอยู่เป็นประจำ ควรได้รับการเปลี่ยนชุดซ่อม จำพวกลูกยางแม่ปั้มเบรก ลูกยางลูกสูบเบรก และยางกันฝุ่น อย่างน้อย 2 – 4 ปีครั้ง หรือถ้ามีมีการลุยน้ำ ต้องรีบตรวจเช็คทันที เพระลูกยางกันฝุ่นที่เก่าหมดสภาพ จะไม่สามารถกันน้ำและฝุ่นได้ น้ำที่ซึมผ่านเข้าไปในกระบอกเบรก และแม่ปั้มเบรก จะทำลายลูกสูบเบรกให้เกิดสนิม เป็นตามด ในกระบอกเบรก ทำให้เกิดอาการเบรกติด หรือน้ำมันเบรกรั่วซึม

(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-14-brake2/tip15brake6.jpg)(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-14-brake2/tip15brake1.jpg)



CREDIT บทความโดย : webmaster  thaispeedcar.com


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: naruto ที่ มีนาคม 16, 2012, 10:01:38 pm
เริ่มต้นโมดิฟลายเบรกให้อยู่ขึ้น และวิธีต่างๆที่นิยมกัน

จากเมื่อตอนที่แล้ว เราพอจะทราบกันแล้วว่าระบบเบรก ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ตัวใดบ้าง ปัญหาต่างๆของระบบเบรก และการดูแลรักษา เรามาดูกันต่อว่าถ้าเราคิดว่า การใช้งานเบรกของเรานั้น รุนแรงกว่าที่เบรกธรรมดาจะรับแรงกระทืบของเราได้แล้ว ควรทำอย่างไร และการโมดิฟลายระบบเบรกนั้น ควรเริ่มต้นโมกันจุดใด มีวิธีอย่างไหนบ้าง

(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-15-brake3/tip16brake5.jpg)(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-15-brake3/frtggh.jpg)

1. เปลี่ยนผ้าเบรกใหม่ 
เป็นวิธีแรก ที่นักซิ่งเริ่มทำกันเมื่อรู้สึกว่า เริ่มจะเบรกไม่อยู่ คื่อการหาผ้าเบรกเกรดที่ดีกว่ามาใช้แทน ผ้าเบรกที่เกรดสูงกว่ามาตราฐาน OEM จากโรงงาน คือผ้าเบรกที่มีคุณสมบัติทนความร้อนสูงขี้น และมีความฝืดสูงจำพวก Semi Metallic ที่มีส่วนผสมของ พวก Orgarnic , Sinter Metal , ไฟเบอร์ , ผงอลูมิเนียม และผงทองแดง พวกนี้จะมีแรงฝืดที่อุณหภูมิสูง คือตอนจานเบรกร้อนจะจับตัวดี แต่ตอนเย็นๆอาจจะลื่นๆ ซึ่งผู้ใช้ต้องควรระวัง

การเลือกซื้อ
ผ้าเบรกพวก Woven Lining หรือพวกที่โฆษณาว่าเป็นผ้าทองแดง ราคาถูก พวกนี้ไม่ต่างจากของ OEM มากเท่าไหร่ แค่นำทองแดงมาผสมให้ดูดี แต่ใช้งานตอนเย็นๆก็เบรกดี แต่พอร้อนๆหน่อยเบรกไม่อยุ่ซะงั้น พวกนี้ไม่ควรเลือกซื้อครับ
ผ้าเบรกพวก Semi Metallic ราคาจะอยู่ที่หลักพันต้นๆ ถึงหลักพันปลายๆ ขึ้นอยู่กับส่วนผสมของแต่ละยี่ห้อ ถือว่าใช้ได้ดีกับรถซิ่งตามท้องถนน ข้อเสียคือกินจานเก่ง และอาจมีผงดำติดล้อแม็ค
ส่วนพวก Fully Metallic ราคาจะอยู่หลัก 3 พันขึ้น พวกนี้เบรกอยู่ดี แต่อาจมีเสียงดังบ้าง จานเบรกจะสึกหรออย่างรวดเร็ว คุณภาพดีมากแต่ราคาก็สูงตามขึ้นไปด้วย ถ้าการเบรกไม่ขนาดหักโหมแบบ One Make Race แบบ Semi ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว
ในรถที่ใช้ในสนามจริงๆมักจะใช้แบบล้อหน้ายี่ห้อหนึ่ง แต่ล้อหลังอีกยี่ห้อ หรือคนละชนิดกันเลย ขึ้นอยู่กับทีมช่างจะเลือกใช้ให้เหมาะกับการขับขี่ของนักแข่งแต่ละคน

(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-15-brake3/tip16brake4.jpg)(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-15-brake3/tip16brake1.jpg)
(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-15-brake3/tip16brake2.jpg)(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-15-brake3/tip16brake3.jpg)

2. เปลี่ยนเป็นระบบดิสเบรกหลัง
สำหรับรถที่เป็นดรัมเบรกหลัง การเปลี่ยนเป็นระบบดิสเบรก เป็นทางเลือกที่ดี ส่วนมากนิยมซื้อชุดดิสเบรกจากเชียงกง ของเก่ายี่ปุ่นตรงรุ่นมาใส่

การเลือกซื้อชุดดิสเบรค ควรเลือกให้ตรงรุ่นกับรถที่เราใช้อยู่ จุดยึดต่างๆต้องเหมือนกัน สายเบรกมือต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่ขาดหาย จานดิสเบรกยังหนาไม่เป็นรอย ผ้าเบรกยังหนาใช้ได้อีกนาน สายอ่อนเบรกไม่แตกร้าว และคานปีกนกที่ติดมาต้องไม่บิดเบี้ยวเพราะการกระแทก หรือเกิดการชน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนดิสเบรกหลัง คือต้องเปลี่ยนดิสเบรกหน้าให้มีขนาดโตขึ้นตามขนาดของรถที่เราหยิบยืมดิสเบรกหลังเขามา รุ่นที่เป็นดิสเบรกหลัง สังเกตุได้ว่าจานดิสเบรกหน้าจะโตกว่า รุ่นดรัมเบรก จึงควารหาดิสเบรกหน้ามาใส่ให้ตรงรุ่น เพราะฉะนั้นแรงจับหลังอาจมีมากกว่า เกิดอาการท้ายปัดได้ ส่วนสำหรับผู้ที่เปลี่ยนดิสเบรกหลังแล้วรู้สึกว่าเบรกไม่อยู่ จานเบรกหลังไม่จับ ส่วนมากมักเกิดจาก วาล์วลดแรงดันน้ำมันเบรก เป็นวงจรลดแรงดันน้ำมันที่จะไปสู่ล้อหลัง ต้องเปลี่ยนใหม่ให้ตรงกับรถรุ่นที่เป็นดิสเบรกหลัง

(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-15-brake3/tip16brake9.jpg)(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-15-brake3/tip16brake7.jpg)

3. เปลี่ยนหม้อลมเบรกให้ใหญ่
บางครั้งแล้วเราคิดว่า หม้อลมเบรกใหญ่จะทำให้เบรกอยู่ขึ้น แต่จริงๆแล้ว หม้อลมเบรกทำหน้าที่ในการช่วยผ่อนแรงเท้าที่เหยียบเบรกเท่านั้น ขนาดของหม้อลมมีความสัมพันธ์กับน้ำหนักรถ แรงดูดสุญญากาศกับเครื่องยนต์ ความแรงของเครื่องยนต์
การเลือกซื้อหม้อลม ควรจะเลือกให้โตขึ้นอีกนิดหน่อย เช่นเป็นหม้อลมแบบชั้นครึ่ง พวกนี้จะมีเนื้อที่เก็บแรงดูดสุญญากาศไว้ช่วยในการเหยียบเบรกได้หลายๆครั้ง ส่วนการเปลี่ยนหม้อลมที่มีขนาดโตเกินไป อาจทำให้การเหยียบเบรกเบาๆ ล้อก็เกิดอาการล็อค ถือว่าอันตรายมาก หรือถ้าแรงดูดของเครื่องไม่พอ ก็เกิดอาการเบรกตื้อได้ วิธีดูหม้อลมที่ดี ต้องไม่มีการบุบ ลองกดขา และใช้นิ้วอุดท่อลมดู ต้องไม่มีอาการรั่ว หรือมีเสียงดัง แม่ปั้มเบรกไม่มีน้ำมันรั่ว หรือมีน้ำมันเบรกค้างอยู่ในหม้อลม สากเบรกที่ตัดต่อต้องมีความแข็งแรงพอ

4. เปลี่ยนจานเบรกให้ขนาดโต
สำหรับรถที่แรงม้าสูงๆ การเปลี่ยนจานเบรกให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด จานเบรกที่มีขนาดโต จะทำให้เนื้อที่จานเบรกมีขนาดมากขึ้น สามารถใช้ผ้าเบรกที่มีขนาดกว้างขึ้น แรงฝืดจึงสูงกว่า และจานเบรกที่มีขนาดโตจะทำให้จานมีเนื้อที่ระบายความร้อนได้มากขึ้น ระบายความร้อนได้เร็ว จานเบรกยิ่งมีขนาดโตขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งสามารถลดรอบการหมุนของล้อได้เร็วขึ้น ออกแรงน้อยลง เป็นลักษณะการผ่อนแรงในระบบคาน แรงเบรกที่วงนอกสุดจะออกแรงน้อยกว่า แรงเบรกที่อยู่ในวงในสุด คล้ายกับเบรกก้ามปูของจักรยาน ที่จับบนขอบล้อ จะลดรอบได้เร็วกว่า
การเลือกซื้อ ในรถที่สามารถหยิบยืมจานดิสเบรกขนาดโตมาใส่โดยไม่ต้องดัดแปลงถือว่าโชคดี
และปลอดภัยที่สุด เช่นตระกูลนิสสันมักนิยมใช้ของ SKYLINE R32 – R33 แม่ปั้ม 4 Port ถือว่าคุ้มค่า ราคาตั้งแต่ 3500 ขึ้นไป หรือพวก S14 หรือถ้าตะกูล Toyota ก็พวก CELICA GT4 หรือพวก Mitsu ก็พวกตระกูล EVO นั่นเอง
สำหรับรถที่ต้องทำการดัดแปลง จากระบบดิสเบรกรุ่นอื่น ยี่ห้ออื่น การดัดแปลงทำได้หลายวิธีเช่น กลึงดุม และเจาะรูจานเบรกให้พอดีกับรูของล้อ หรือสร้างอแดปเตอร์มาเสริมให้ใส่จานเบรกได้พอดี ส่วนการยึดคาริเปอร์เบรกถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญมากที่สุด การดัดแปลงจุดยึดคาริเปอร์ควรใช้ระบบการสร้างอแดปเตอร์ แบบปีกผีเสื้อ ใช้เหล็กที่มีความหนา หรืออลูมิเนียมเกรดสูงมาตัดสร้าง เจาะรูยึดน๊อตติดกับรูคาริเปอร์เดิม ส่วนอีกด้านหนึ่งยึดกับคาริเปอร์ตัวใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม ส่วนการตัดหูยึดคาริเปอร์เดิม แล้วสร้างเหล็กมาตัดเชื่อม ถือว่าเป็นการไม่ปรอดภัย เพราะหูยึดคาริเปอร์เก่าติดดุมจะเป็นเหล็กหล่อ ส่วนหูยึดคาริปเปอร์ใหม่ที่สร้างขึ้นนิยมใช้เหล็กเหนียวตัดเป็นหูและเชื่อมติดกัน วิธีนี้จะทำให้เหล็กหล่อที่ได้รับความร้อนในการเชื่อม เกิดความเปราะแตกร้าวง่าย ลวดเชื่อมคุณภาพต่ำไม่สามารถประสานรอยเชื่อมได้ดี
5. การเจาะรู และ เสาะร่องจานเบรก
รูบนจานเบรกทำหน้าที่ในการระบายความร้อนระหว่างผ้าเบรก และจานเบรก ในใช้งานที่อุณหภูมิสูงความร้อนระหว่างผ้าและจานจะสูงมากเกิดเป็นไอความร้อนในรูปของแก็ส ทำหน้าที่สกัดกันการสัมพัสกันระหว่างผ้าเบรกและจานเบรก การเจาะรูจึงช่วยในการระบายความร้อน และแก็สให้ผ่านรูเล็กๆออกไป
ร่องจานเบรกทำหน้าที่กวาดฝุ่นผงของ ผ้าเบรกให้หลุดออกได้ง่ายขึ้น เป็นการช่วยทำความสะอาดผ้าเบรกไปในตัวเท่านั้นเอง
สำหรับจานเบรกซิ่งส่วนมากจะมีการเจาะรู และเสาะร่องมาจากโรงงาน แต่สำหรับจานเบรกแบบโรงงานก็สามารถนำมาเจาะรู ได้ การเจาะรูต้องมีการคำนวน ระยะห่างให้เหมาะสม การเจาะรูจานเบรกแม้จะช่วยในการระบายความร้อน แต่ก็เป็นจุดอ่อนทำให้จานเบรกเกิดการแตกร้าวได้ง่ายๆ (แม้แต่จานเบรกซิ่งยังแตกร้าวให้เห็นกันบ่อยๆ) ดังนั้นการเจาะรูจานเบรกไม่ควรเจาะรูให้ถี่มากเกินไป หรือใช้เป็นระบบนำจานเดิมไปเซาะร่องก็ถือว่าเพียงพอแล้ว แถมยังง่ายต่อการดูแลอีกด้วย

(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-15-brake3/tip16brake11.jpg)(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-15-brake3/tip16brake12.jpg)

6. คบหากับชุดเบรกซิ่ง
จานเบรกซิ่งสมัยนี้มีให้เลือกมากมายหลายยี่ห้อ ราคามือสองก็ตั่งแต่หลักหลายหมื่น จนถึงหลักแสน ถ้าเป็นของใหม่ราคาต้องเล่นกันที่หลักแสนอย่างเดียวครับ จานเบรกซิ่งส่วนมากจะทำเป็นลักษณะ 2 ชั้น วงนอกเป็นจานเบรกโลหะผสมเกรดสูง แล้วแต่สูตรของแต่ละยี่ห้อ ส่วนด้านในเป็นจานสำหรับยึดดุมล้อ ทำจากอลูมิเนียมเกรดสูง 7075 ยึดน๊อตโดยรอบกับตัวจานดิสเบรก จานดิสเบรกแบบนี้มีข้อดีอยู่ที่ น้ำหนักเบา ระบายความร้อนได้เร็ว ด้วยวัสดุที่ดีกว่าการเจาะรูระบายความร้อนจึงเสี่ยงต่อการแตกร้าวยากกว่า การออกแบบเป็น 2 ชั้นแยกจากกัน ช่วยลดการบิดตัวของจาน ลดอาการเบรกสั่น และยังช่วยให้จานเบรกบิดตัวรับกับผ้าเบรกได้แนบสนิทขึ้น
ส่วนคาริเปอร์มีทั้ง แบบ 2 พอร์ต 4 พอร์ต และ 6 พอร์ต ทำจากอลูมิเนียมอัลลอยผสม น้ำหนักเบา ระบายความร้อนได้ดี ลูกสูบเบรก ใช้แบบน้ำหนักเบา ป้องกันความร้อน ลูกยางเบรกเป็นลูกยางเกรดพิเศษ ทนความร้อนสูง ใช้งานได้กับน้ำมันเบรกเกรดสูงได้เป็นอย่างดีไม่มีบวม
ผ้าเบรกจะใช้เป็นเกรดสูงจำพวก Fully Matallic มีแรงฝืดสูง และทนความร้อนได้กว่า 1,200 องศาเซลเซียส
ดั้งนั้นรถแต่งที่ใช้งานหนัก แรงม้าสูงๆ และใช้งานเบรกอย่างต่อเนื่อง อย่างพวกรถแข่งในสนาม จำเป็นต้องลงทุนคบหากับจานเบรกซิ่งเสียเป็นส่วนใหญ่ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ สูญเสียระยะเบรกน้อย และทำเวลาได้ดีขึ้น
ส่วนจานเบรกที่ใช้กับรถแข่งระดับโลก มักจะนิยมใช้จานเบรกที่ทำจาก วัสดุเซรามิคผสม ทนความร้อนได้กว่า 1,600 องศา และคาริบเปอร์แบบลูกสูบไททาเนียม ซึ่งราคาคงไม่ต้องพูดถึง
การเลือกซื้อ ถ้าเป็นของใหม่เกาะกล่อง แค่กำหนดขนาด ให้ตรงกับรุ่นรถที่เราต้องการเท่านั้น แต่ถ้าเป็นของเก่าเชียงกง ต้องดูที่จานเบรกต้องไม่ไหม้ หรือสึกหรอรุนแรง ผ้าเบรกยังเต็มๆ เพราะถ้าซื้อมาแล้วใช้ได้ไม่นานผ้าหมด ก็เสียเงินเพิ่มอีก หาซื้อผ้าเบรกยากมาก ยิ่งจานหมดด้วยแล้ว ซื้อใหม่ทั้งชุดอาจง่ายเสียกว่า

(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-15-brake3/tip16brakefront.jpg)(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-15-brake3/tip16brake10.jpg)

7. เปลี่ยนน้ำมันเบรกให้ DOT สูงขึ้น
สำหรับน้ำมันเบรก ที่มีค่าทนความร้อนได้สูงขึ้นที่เรียกว่า DOT นั้น มีส่วนป้องกันการเดือดของน้ำมันเบรก น้ำมันเบรกที่เดือดจะเกิดฟองอากาศ ประสิทธิภาพจะลดต่ำลงทันที สำหรับผู้ที่ใช้งานเบรกที่รุนแรงต่อเนื่อง การเปลี่ยนน้ำมันเบรกให้มี DOT สูงขึ้น ช่วยป้องกันการเดือดได้เป็นอย่างดี โดยคำนึงถึงค่า DOT เช่น DOT 3 ทนความร้อนได้ 205 องศา DOT 4 ทนได้ 230 องศา ส่วน DOT 5 ทนได้ 260 องศา การใช้เบรกที่รุนแรงก็ควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกให้คุณภาพดีขึ้นด้วย
8. เปลี่ยนสายอ่อนสแตนเลสถัก
สายอ่อนสแตนเลส ภายในมักจะผลิตจาก เทฟล่อนอย่างดีทนความร้อน และการกัดกร่อนได้สูง ภายนอกถักขึ้นรูปด้วยเส้นใยสแตนเลส ป้องกันการขยายตัว และการเสียดสี หัวต่อแบบไฮโดรลิคอย่างดีป้องกันการหลุด หรือแตก
สายอ่อนสแตนเลส มีข้อดีกว่า สายอ่อนแบบยาง ตรงที่ สายอ่อนไม่มีการขยายบวมในขณะที่แรงดันน้ำมันเบรกสูงๆ การบวมตัวของสายอ่อนทำให้แรงดันที่ส่งมายังคาริบเปอร์เบรกลดต่ำลง การเปลี่ยนสายอ่อนสแตนเลส จะช่วยให้แรงดันที่ส่งมายังแม่ปั้มคาริบเปอร์สูงกว่า ออกแรงในการเหยียบเบรกน้อยลง ให้สัมพัสที่เท้าเบรกได้มากกว่า ง่ายต่อการควบคุมจังหวะเบรก
การเลือกซื้อ ถ้าเป็นของใหม่ง่ายๆแค่ซื้อให้ตรงรุ่น ความยาวใกล้เคียงกับของเดิม หัวต่อตรงรุ่น ตรงเกลียวกับรถของเรา ถ้าเป็นของเก่าสภาพต้องไม่มีชำรุด หรือน้ำมันเบรกซึม หรือเก่ามากเกินไป ขยับดูสายต้องไม่แข็ง
การโมดิฟลายระบบเบรกยังมีอีกมาก หลายวิธี แค่ยกตัวอย่างมาให้พอเข้าใจ แต่ที่สำคัญคืออย่ามองข้ามความปรอดภัย อย่างที่ว่า รถยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็วสูง ย่อมหยุดยาก ถ้าหยุดไม่ได้แล้ว ย่อมเสียหายมาก ฝากไว้ด้วยครับ

(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-15-brake3/tip16brake8.jpg)(http://www.thaispeedcar.com/Image/Tip/tm-15-brake3/tip16brake6.jpg)



CREDIT บทความโดย : webmaster  thaispeedcar.com


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: naruto ที่ มีนาคม 16, 2012, 10:02:09 pm
ไปเจอสาระดีๆ นำมาให้อ่านกันครับ   big smile


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: Tee_Kb ที่ มีนาคม 16, 2012, 10:48:15 pm
ขอบคุณมากเลยคับสำหรับความรู้ที่สำคัญกับรถ สาธุ


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: thekop07 ที่ มีนาคม 16, 2012, 10:55:09 pm
แวะมาขอบคุณก่อนครับ เดี๋ยวตามไปอ่านทีหลัง รายละเอียดเพียบ ความรู้เรื่องเบรคแน่นเลยครับ  สาธุ สาธุ สาธุ


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: Hurricane ที่ มีนาคม 17, 2012, 12:52:50 am
ขอบคุณป่า naruto  และเจ้าของบทความ  ครับ สาธุ


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: Liverpool(ชาติ) ที่ มีนาคม 17, 2012, 01:04:49 am
รู้ล่ะ..ต่อไปจะได้เสียตังค์อย่างถูกวิธี..ซะทีครับ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: Titandtuka no.15 ที่ มีนาคม 17, 2012, 10:52:46 am
 สาธุ


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: Nakavabi ที่ มีนาคม 17, 2012, 11:12:06 am
ขอบคุณมากครับป๋าเติ้ล สาธุ

กำลังหาข้อมูลเรื่องเบรคอยู่เลยครับ


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: naruto ที่ มีนาคม 17, 2012, 11:50:09 am
ค่อยศึกษากันไปครับก่อนตัดสินใจทำลงไปครับ   big smile


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: Nakavabi ที่ มีนาคม 17, 2012, 02:21:16 pm
ขอคำแนะนำหน่อยครับป๋าเติ้ลว่าควรทำอะไรดี


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: naruto ที่ มีนาคม 17, 2012, 06:22:28 pm
ขอคำแนะนำหน่อยครับป๋าเติ้ลว่าควรทำอะไรดี

จะตอบยังไงดีน้า.... งั้นถามตัวเองก่อนครับว่าตอนการแบบไหน  ใช้งานอย่างไร  งบเท่าไหร่
เบรกเดิมติดรถก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วครับว่าเป็นอย่างไร
ค่อยๆ ลองปรับเปลี่ยนดูก็ได้ครับ  จะได้เห็นผลด้วยตัวเองก็จะรู้ว่าแบบไหนโอเคสำหรับเราอ่ะครับ   big smile


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: Power-ant ที่ มีนาคม 23, 2012, 09:57:55 pm
เพิ่งอ่านจบครับป๋าเติ้ลขอบคุณมากๆ ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย เซฟเก็บไว้แล้วจ้า like like like


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: naruto ที่ มีนาคม 24, 2012, 11:58:50 am
อยากได้เป็น file pdf ก็บอกนะครับ  ผมเรียบเรียงเก็บไว้เรียบร้อยแล้วล่ะครับ
เดี๋ยวทำไว้ให้โหลดเก็บไว้อ่านกันเลยดีกว่า   big smile


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: Power-ant ที่ มีนาคม 24, 2012, 01:50:16 pm
อยากได้เป็น file pdf ก็บอกนะครับ  ผมเรียบเรียงเก็บไว้เรียบร้อยแล้วล่ะครับ
เดี๋ยวทำไว้ให้โหลดเก็บไว้อ่านกันเลยดีกว่า   big smile
ขอบคุณครับ จัดมาเลย สาธุ


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: BANK ที่ มีนาคม 31, 2012, 11:14:24 am
รบกวนสอบถามพี่ๆ ผู้รู้ หน่อยครับ PAJERO  2011 ว่าอาการต่อไปนี้ปกติหรือผิดปกติ
1.เวลาขับรถไปนานๆเช่นเวลาวิ่งทางไกลๆ เเล้วเหยียบเบรคกระทันหัน จะรู้สึกว่ามีเสียงดัง ตึ๊กๆ ที่เเป้นเบรคและต้องใช้เเรงเบรคเพิ่ม   อันนี้เป็นตอนที่เหยียบครั้งเเรก เเต่ถ้าขับต่อไปเเล้วเหยียบครั้งต่อไปก็จะไม่เป็นครับ เเละอีกอย่างก็คือ เวลาเหยียบเบรคกันทันหันเหมือนรถมีอาการแฉลบ เหมือนว่าเบรคล้อหน้า 2 ข้างมันทำงานไม่เท่ากันน่ะครับ
2.เวลาขับรถบนถนนลาดยางมะตอย ตอนฝนตกเวลาเบรค รู้สึกว่าเบรคไม่ค่อยอยู่ เเล้วเหมือน มีเเรงต้านกลับมาที่แป้นเบรค เหมือนเเป้นเบรคมันเเข็งไปเลยครับกด ไม่ลง
ไม่รู้ว่าอาการดังกล่าว มันผิดปกติหรือว่ามีโอกาศเกิดได้ ในสภวะปกติครับ ขอบคุณครับ


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: naruto ที่ เมษายน 02, 2012, 11:14:24 am
รบกวนสอบถามพี่ๆ ผู้รู้ หน่อยครับ PAJERO  2011 ว่าอาการต่อไปนี้ปกติหรือผิดปกติ
1.เวลาขับรถไปนานๆเช่นเวลาวิ่งทางไกลๆ เเล้วเหยียบเบรคกระทันหัน จะรู้สึกว่ามีเสียงดัง ตึ๊กๆ ที่เเป้นเบรคและต้องใช้เเรงเบรคเพิ่ม   อันนี้เป็นตอนที่เหยียบครั้งเเรก เเต่ถ้าขับต่อไปเเล้วเหยียบครั้งต่อไปก็จะไม่เป็นครับ เเละอีกอย่างก็คือ เวลาเหยียบเบรคกันทันหันเหมือนรถมีอาการแฉลบ เหมือนว่าเบรคล้อหน้า 2 ข้างมันทำงานไม่เท่ากันน่ะครับ
2.เวลาขับรถบนถนนลาดยางมะตอย ตอนฝนตกเวลาเบรค รู้สึกว่าเบรคไม่ค่อยอยู่ เเล้วเหมือน มีเเรงต้านกลับมาที่แป้นเบรค เหมือนเเป้นเบรคมันเเข็งไปเลยครับกด ไม่ลง
ไม่รู้ว่าอาการดังกล่าว มันผิดปกติหรือว่ามีโอกาศเกิดได้ ในสภวะปกติครับ ขอบคุณครับ

สำหรับระบบเบรกเดิม  ผมไม่ค่อยแน่ใจนะครับ  รอป๋าๆ ท่านอื่นมาตอบอีกทีครับ


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: naruto ที่ เมษายน 02, 2012, 11:15:04 am
...


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: Joe ผู้ชาย*รสส้ม* ที่ เมษายน 08, 2012, 02:30:00 pm
 ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมเป๊ะเลยจร้า สาธุ สาธุ สาธุ


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: muzashi_benz ที่ เมษายน 20, 2012, 11:01:19 am
ขอขอบคุณป๊าที่ให้ความรู้คับผม ดีมากสำหรับคนไม่ค่อยมีความรู้แบบผม 


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: kumpon ที่ เมษายน 20, 2012, 11:51:28 am
ได้ความรู้ดีมากครับ   like like like


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: pucca32 ที่ เมษายน 23, 2012, 07:34:52 pm
 like like like


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: ปุ่น-ภูเก็ต ที่ พฤษภาคม 03, 2012, 01:34:11 pm
 like like like like like good good good good สาธุ สาธุ สาธุ smile.. heart


หัวข้อ: Re: ## รู้จักส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟลาย ##
เริ่มหัวข้อโดย: chalerm1980 ที่ พฤษภาคม 05, 2012, 05:31:29 pm
มาเก็บความรู้เป็นแนวทางแต่งปาครับ จะได้เอาอยู่  ถ้าไม่อยู่เดี๋ยวจะเจอกับครูอังคณา :D :D :D like like like